วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้อสอบกลางภาค


                 น.ส. นพวรรณ แสงสีทอง รหัส 06540076  วิชาเอก สังคมศึกษา

ข้อสอบกลางภาค 462 201 การพัฒนาหลักสูตร
คณะศึกษาศาตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

1. เมื่อมีความจำเป็นในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา นักศึกษาจงนำเสนอแนวทางการพัฒนาหลักสูตรที่มีรายละเอียดข้อมูล ประกอบแผนภูมิ ตามประเด็นต่าง ๆ โดยอธิบายในลักษณะกระบวนการปฏิบัติงานกลุ่มในการเรียนรู้วิชานี้ ดังต่อไปนี้
            
         1). คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร โดยระบุบทบาทหน้าที่ และขอบข่ายการปฎิบัติงาน
            คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร ควรมาจากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพโรงเรียน สภาพของผู้เรียน และสภาพสังคม เพื่อที่จะทำให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียนมากที่สุดโดยคณะกรรมการหลักสูตรจะต้องทำความเข้าใจในประเด็นดังนี้    

    1.โรงเรียนจะเป็นเลิศด้านใดบ้าง มีวิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมายอย่างไร
    2.หลักสูตรสถานศึกษาเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด
    3.จัดการศึกษาตามแนวคิดใด
    4.ประเมินการเรียนรู้อย่างไร

โดยมีขอบข่ายทางการศึกษาในประเด็น ดังนี้
    1.การศึกษาสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
    2.การศึกษาสภาพและความต้องการของผู้เรียน
    3.การศึกษาศักยภาพของโรงเรียน
   4. ศึกษาหลักสูตรแม่บท

คณะกรรมการอำนวยการ  มีหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตร และศึกษาสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้าน สังคม จิตวิทยา และ ปรัชญาโดยมีบทบาทในพัฒนาหลักสูตรประสานองค์ความรู้ทั้ง 3 ด้านให้เป็นหนึ่งเดียวให้มีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยแบ่งเป็นแต่ละฝ่ายดังนี้

1. คณะกรรมการทางด้านสังคม ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรมของผู้เรียนเพื่อเป็นการปรับปรุงและเพิ่มเติมในส่วนที่ผู้เรียนขาดซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสังคมที่จะกำหนดหลักสูตรอย่างไรให้สอดคล้องกับสังคมของผู้เรียนอันจะช่วยส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนได้ดีมากยิ่งขึ้น
     บทบาทของคณะกรรมการสังคมร่มไม้
1. ทำหน้าที่ในการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ทางสังคมของนักเรียน
2. เขียนถึงรูปแบบที่จะใช้ในการพัฒนาหลักสูตรว่าควรใช้รูปแบบใดทั้งนี้รูปแบบนั้นควรมีความหลากหลายและตอบสนองต่อผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม                                                                                                      3. ตรวจสอบหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพสังคม                                                                                                      
4. นำหลักสูตรไปให้คณะกรรมการแต่ละชุดตรวจสอบให้สอดคล้องกัน
   ขอบข่ายการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสังคม
1. ประสานงานกับครูประจำชั้นในการถามถึงรายละเอียดทางด้านสังคมของผู้เรียน
2. หลังจากที่ได้ประมวลถึงสภาพสังคมแล้วก็นำมาเป็นแนวทางในการเขียนหลักสูตรให้สอดคล้องกับผู้เรียน
3. ตรวจสอบการพัฒนาหลักสูตรภายในคณะกรรมการสังคมและคณะกรรมการแต่ละชุดเพื่อนำมาแก้ไขต่อไป

2. คณะกรรมการทางด้านจิตวิทยา กระบวนการทางด้านจิตวิทยาต่อการพัฒนาหลักสูตรว่าจะดำเนินงานเน้นผู้เรียนทางด้านใดเพื่อให้เข้ากับธรรมชาติของผู้เรียนและการจัดหลักสูตรที่เหมาะสม โดยต้องอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้ทั้ง 3 กลุ่ม คือกลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มปัญญานิยม กลุ่มมนุษยนิยม เป็นต้น
บทบาทของคณะกรรมการทางด้านจิตวิทยา
1. ดำเนินการศึกษาทฤษฎีทางจิตวิทยา                                                                                        2. กำหนดแนวทางของหลักสูตรด้านจิตวิทยาโดยอิงกับคณะกรรมการทุกๆด้าน
3. นำรูปแบบทางด้านจิตวิทยาที่พัฒนาร่วมกันไปปรึกษาคณะกรรมการแต่ละชุด พร้อมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ              4. กำหนดรูปแบบ กิจกรรมแนวทางการสนับสนุนให้แนวคิดทางจิตวิทยาบรรลุผล5. ดำเนินการตรวจสอบ
ขอบข่ายการปฏิบัติงานของคณะกรรมการทางด้านจิตวิทยา
1. ศึกษาทฤษฎีทางจิตวิทยาต่างๆและนำมาอิงกับหลักสูตรที่เราจะพัฒนาโดยมีเป็นกระบวนการคิดเลือก
แนวคิดทางจิตวิทยาที่เหมาะสมที่สุด
                                                                                           2. กำหนดรูปแบบแนวทางการใช้หลักสูตร กำหนดกิจกรรมให้รองรับกับกับแนวคิดทางจิตวิทยา                                3. การตรวจสอบคุณภาพทางด้านจิตวิทยาโดยคณะกรรมการแต่ละชุดและผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร
4.หากแนวคิดมีความเหมาะสมก็ดำเนินการามาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรแต่ถ้าหากยังไม่เหมาะสมก็นำมาแก้ไขปรับปรุงต่อไป
3.คณะกรรมการทางด้านปรัชญา ปรัชญามีส่วนสำคัญต่อการสร้างหรือการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรต้องใช้ปรัชญาในการช่วยกำหนดจุดประสงค์ในการจัดหลักสูตรการสอนสำหรับผู้เรียนโดยคณะกรรมการก็ควรที่จะศึกษาถึงความต้องการของโรงเรียน สภาพทางสังคม จิตวิทยา วิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วย
บทบาทของคณะกรรมการปรัชญา
1. ทำการปรึกษาหารือในแนวทางที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
2. ศึกษาข้อมูลทางด้านปรัชญาการศึกษา
3. เขียนแนวทางการพัฒนาหลักสูตรทางด้านปรัชญาการศึกษา
4. ตรวจสอบรวมกันพร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขให้มีความเหมาะสม
ขอบข่ายการปฏิบัติงานของคณะกรรมการปรัชญา
1. ภายในคณะกรรมการการพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาถึงความเหมาะสมทางด้านต่างๆที่จะนำมาใช้ในการเลือกปรัชญาการศึกษาโดยต้องให้สอดคล้องกับสภาพสังคมของผู้เรียนและโรงเรียน รวมถึงด้านจิตวิทยา ด้านวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. ศึกษาข้อมูลทางด้านปรัชญาการศึกษาที่เลือกให้เหมาะสมกับการที่จะนำมาพัฒนาหลักสูตร
3. กำหนดทิศทางการสร้างหลักสูตรการศึกษาโดยอิงกับปรัชญาการศึกษาที่เลือกไว้ ทั้งนี้ควรกำหนดถึงรูปแบบการสอน กิจกรรม และ สื่อที่เลือกมาใช้ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
4.ทำการตรวจสอบโดยกระบวนการกลุ่มเพื่อนำมาสู่ปรัชญาการศึกษาที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียน
            2). แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร
          ไทเลอร์  กล่าวว่า  ในการพัฒนาหลักสูตรนั้นควรจะตอบคำถามพื้นฐานได้  4  ประการ  คือ
          (1)  มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนตั้งใจจะก่อให้เกิดแก่ผู้เรียน
          (2)  มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
          (3)  จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ
          (4)  ประเมินผลประสบการณ์อย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
             หากพิจารณาคำถามดังกล่าวมา  จะเห็นว่าเป็นคำถามที่แสดงองค์ประกอบของหลักสูตรและยังแสดงลำดับขั้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย  รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์อาจจัดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
          1. กำหนดจุดมุ่งหมายชั่วคราว กำหนดขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน สังคม และเนื้อหาวิชาเป็น
              พื้นฐาน
          2. กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน  เกิดจากการนำเอาจุดมุ่งหมายชั่วคราวไปตรวจสอบ  กลั่นกรองด้วยทฤษฎีการเรียนรู้  ปรัชญาการศึกษา  และปรัชญาสังคม  แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกัน
          3.  เลือกประสบการณ์การเรียนรู้
          4.  กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
          5.  กำหนดการประเมินผล
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์  มีกระบวนการดังแผนภูมิ
         

            3). การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
          การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร คือ การที่ศึกษาความเป็นไปได้ของหลักสูตรในการนำไปใช้ และเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของหลักสูตร ที่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะต้องทำการแก้ไขก่อนนำไปใช้                                                                                                                                โดยการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
1. ตรวจสอบจุดประสงค์ของหลักสูตร ว่าสอดคล้องกับหลักสูตรที่จะนำไปใช้ โดยจุดประสงค์ก็คือความต้องการของผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน ที่ต้องสอดคล้องกับพื้นฐานปรัชญาทางการศึกษา , พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา , พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม , พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งยังต้องมีความชัดเจนอีกด้วย และสามารถจำแนกประเภทของจุดประสงค์ได้ 3 ด้าน ดังนี้ ด้านความรู้หรือสติปัญญา , ด้านเจตคติหรือความรู้สึก , และด้านทักษะปฏิบัติ
    2. ตรวจสอบเนื้อหาสาระ  เนื้อหาสาระเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีการเรียนรู้ และได้รับการถ่ายทอดจากผู้สอนที่ตรงกับความสนใจ ความต้องการ ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งการที่จะถ่ายทอดเนื้อหาสาระให้กับผู้เรียนนั้น ก็ควรมีการเรียบเรียงลำดับขั้นของเนื้อหาจากขั้นพื้นฐานไปสู่เนื้อหาที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น และมีการจัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการทำความเข้าใจ โดยต้องสอดคล้องกับอายุ ระดับชั้นของผู้เรียน มีการกำหนดระยะเวลาในการเรียนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ได้ตั้งไว้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
    3. ตรวจสอบการจัดรูปแบบการสอน ควรมีวิธีการจัดรูปแบบการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน ที่จะได้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ ความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ และจะได้เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะในด้านต่างๆ โดยการจัดรูปแบบการสอนนี้ผู้สอนก็ควรเน้นการจัดรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้สอนทำหน้าที่เป็นเพียงผู้คอยอำนวยความสะดวก ผู้ให้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาด้วยตนเอง ได้มีความริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ การฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และการจัดรูปแบบการสอนก็ควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้เรียน ตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องเรียน เน้นการฝึกปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญ โดยมีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะใช้ในการปฏิบัติด้วย
   4. ตรวจสอบการประเมินผล เป็นเกณฑ์ต่างๆที่มีขึ้นเพื่อใช้ในการประเมินผล ชี้วัดความก้าวหน้าด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผู้สอนจะสร้างเครื่องมือในการประเมินผลขึ้นมาหรือผู้เรียนอาจจะมีส่วนร่วมในการสร้าง แนะนำ เครื่องมือในการประเมินผลและผู้เรียนก็ยังมีส่วนร่วมในการใช้เครื่องมือในการประเมินผลนี้ด้วย ซึ่งเครื่องมือในการประเมินผลก็ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ รูปแบบการจัดการสอน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนได้จริง
         
          4). การศึกษาการใช้หลักสูตร
          1. หาข้อมูลโรงเรียน เช่น
        - ข้อมูลทั่วไปของโรงเรียน    
        - วิสัยทัศน์    
        - พันธกิจของโรงเรียน    
        - ยุทธศาสตร์ของโรงเรียน
        - แนวทางการพัฒนาของโรงเรียน
          2. การติดต่อประสานงาน
3.  เก็บข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับนักเรียน เช่น
         -  ผลการเรียน
         -  ความสนใจ 
         -  สมรรถภาพของผู้เรียน 
          4. วางแผนการดำเนินงานกับทางโรงเรียน เช่น
         - ตรวจสอบความพร้อมในด้านสื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยี
         -  กำหนดคาบเรียนการใช้หลักสูตร
          5. ประเมินผลการใช้หลักสูตร
          6. ดำเนินการแก้ไขปรับปรุง

2. ในการพัฒนาหลักสูตรต้องอาศัยพื้นฐานการพัฒนาด้านใดบ้าง อย่างไร นักศึกษาเห็นว่าเนื้อหาสาระใดมีความสำคัญอย่างยิ่ง จงนำเสนอแนวคิดถึงความสำคัญ
            การพัฒนาหลักสูตรนั้นมีพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรอยู่ 5 ด้านคือ
  1)      ข้อมูลพื้นฐานด้านปรัชญาการศึกษา
  2)      ข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยา 
  3)      ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมของผู้เรียน
  4)      ข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิชาการ
  5)      ข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
          เราจะเห็นข้อมูลทั้ง 5 ด้านมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรด้วยกันทั้งนั้น การที่จะพัฒนาหลักสูตรขึ้นมานั้นหากเรามีความเข้าใจหรือเน้นที่ด้านใดไปด้านหนึ่งก็จะเป็นหลักสูตรที่ไม่สามารถตอบสนองต่อผู้เรียนได้
1. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านปรัชญา
          บทบาทของนักปรัชญาการศึกษา
1. อธิบายถึงสภาพการณ์ของการศึกษาว่าอยู่ในสภาพอย่างไร
2. วิจารณ์ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของการศึกษาว่า มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงไร
3. เปรียบเทียบแนวความเชื่อของตนกับแนวการจัดการศึกษาว่า แตกต่างกันอย่างไร โดยอาศัยการวิเคราะห์
   วิจารณ์จากความคิดเห็นของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
4. เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ในการพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น หรือกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับการจัดการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาที่สำคัญ
1.       ปรัชญาสารนิยม  (Essentialism)
2.       ปรัชญาสาขาสัจนิยมวิทยา หรือนิรันตรนิยม (Perenialism)
3.       ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism)
4.       ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)
5.       ปรัชญาสาขาอัตถิภาวนิยม (Existentialism)
          ปรัชญาสารนิยม  (Essentialism)
 ปรัชญาสารนิยม  เชื่อว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้และความจริงทางธรรมชาติเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาจึงควรประกอบไปด้วย ความรู้ ความจริง และการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์และปรากฎการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ การจัดการเรียนการสอนตามความเชื่อนี้จึงเน้นการให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง และการสรุปกฎเกณฑ์จากข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านั้น
รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนนั้น ยึดหลักส่งเสริมให้นักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจในความรู้อันสูงสุดให้มากที่สุดเท่าที่นักเรียนแต่ละคนจะทำได้ วิธีที่ครูส่งเสริมมากคือ การรับรู้และการจำ การจัดนักเรียนเข้าชั้นจะยึดหลักการจัดแบบแยกตามลักษณะและระดับความสามารถที่ใกล้เคียงกันของผู้เรียน (Homogeneous Grouping) เพื่อมิให้ผู้ที่เรียนช้าถ่วงผู้ที่สามารถเรียนเร็ว ในการสอนจะคำนึงถึงมาตรฐานทางวิชาการมากกว่าคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 


          ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism)
 การพัฒนาหลักสูตรตามแนวปรัชญานี้ จะเริ่มด้วยคำถามที่ว่า ผู้เรียนต้องการเรียนอะไรจากนั้นครูผู้สอนจึงจัดแนวทางในการเลือกเนื้อหาวิชา และประสบการณ์ที่เหมาะสมมาให้ เน้นการปลูกฝังการฝึกฝนอบรมในเรื่องดังกล่าวโดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ (Experience) เนื้อหาวิชาเหล่านี้จะเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และเกี่ยวกับสภาพและปัญหาในสังคมด้วย และส่งเสริมความรู้ที่มาจากการปฏิบัติจริง
ในการสอนครูจะไม่เน้นการถ่ายทอดวิชาความรู้แต่เพียงประการเดียว แต่จะคอยเป็นผู้ดูแลและให้ความช่วยเหลือเด็กในการสำรวจปัญหา ความต้องการ และความสนใจของตนเอง คอยแนะนำช่วยเด็กในการแก้ปัญหา แนะนำแหล่งต่าง ๆ ที่เด็กจะไปค้นหาความรู้ที่ต้องการจะเน้นให้เด็กมีโอกาสปฏิบัติ ส่วนการการประเมินผลจะนำพัฒนาการของเด็กในด้านต่าง ๆ เข้ามาร่วมประมวลด้วย โดยไม่เน้นการวัดความเป็นเลิศทางสมองและวิชาการเหมือนปรัชญาเช่นที่แล้วมา
          ปรัชญาสาขาสัจนิยมวิทยา หรือนิรันตรนิยม (Perenialism)
แนวความคิดหลักทางการศึกษาของสัจวิทยานิยม ได้แก่ ความเชื่อที่ว่า หลักการของความรู้ จะต้องมีลักษณะจีรังยั่งยืนอย่างแท้จริง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเราควรอนุรักษ์และถ่ายทอดให้ใช้ได้ในปัจจุบันและอนาคต   
การจัดการเรียนการสอนตามปรัชญานี้ จะมุ่งเน้นการสอนให้ผู้เรียนจดจำ ใช้เหตุผล และตั้งใจกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยผู้สอนใช้การบรรยาย ซักถามเป็นหลัก รวมทั้งเป็นผู้ควบคุม ดูแล ให้ผู้เรียนอยู่ในระเบียบวินัย  ส่วนการปล่อยให้ผู้เรียนมีอิสระจนเกินไปในการเรียนตามใจชอบนั้น  แต่เป็นการขัดขวางโอกาสที่ผู้เรียนจะได้พัฒนาความสามารถที่แท้จริงของเขา การค้นพบตัวเองต้องอาศัยระเบียบวินัยในตนเอง ซึ่งไม่ใช่มีโดยไม่ต้องอาศัยวินัยจากภายนอก ความสนใจในสิ่งที่เป็นความจริงแท้นั้นมีอยู่ในตัวคนทุกคน แต่มันจะไม่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย ต้องอาศัยการศึกษาที่ช่วยฝึกฝนและดึงความสามารถเหล่านี้ออกมา
          ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)
                พวกปฏิรูปนิยมมองโรงเรียนว่า เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างระเบียบทางสังคมขึ้นมาใหม่ การจัดหลักสูตรตามแนวของปฏิรูปนิยม จึงเน้นเนื้อหาสาระและวิธีการที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบที่จะปฏิรูป และสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมา ทั้งในระดับชุมชน ประเทศ และระดับโลกในที่สุด
                  ความมุ่งหมายของหลักสูตรจะเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น เนื้อหาวิชาและประสบการณ์ที่เลือกมาบรรจุในหลักสูตรจะเกี่ยวกับสภาพและปัญหาของสังคมเป็นส่วนใหญ่ เนื้อหาวิชาเหล่านี้จะเน้นหนักในหมวดสังคมศึกษา เพราะปรัชญานี้เชื่อว่า การปฏิรูปสังคม หรือการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น โดยกระบวนการช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม การจัดระเบียบของสังคม การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม และการส่งเสริมประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ของสมาชิกในสังคม และการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
          ปรัชญาสาขาอัตถิภาวนิยม (Existentialism)
               การจัดการศึกษาตามปรัชญานี้จึงให้ความสำคัญกับการให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และสนับสนุนส่งเสริมผู้เรียนในการค้นหาความหมายและสาระสำคัญของชีวิตของเขาเอง ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือกสิ่งที่เรียนตามที่ตนต้องการ มีเสรีภาพในการเลือกตัดสินใจเมื่อเผชิญกับปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ และรับผิดชอบในการตัดสินใจหรือการกระทำของตน
                กระบวนการเรียนการสอนยึดหลักให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรู้จักตนเอง ช่วยให้เด็กมีความเข้าใจตนเองและเป็นตัวของตัวเอง เช่น ศิลปะ ปรัชญา การเขียน การอ่าน การละคร โดยมีครูกระตุ้นให้แต่ละบุคคลได้ใช้คำถามนำไปสู่เป้าหมายที่ตนเองต้องการ ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่เน้นให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน มุ่งพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล
2. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
          1) ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory) 
          เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก การตอบสนองสิ่งเร้าของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบแสดงออก ซึ่งมีการเสริมแรงเป็นตัวการ โดยทฤษฎีนี้ จะไม่พูดถึงความคิดภายในของมนุษย์ ความทรงจำ ความรู้สึก ลักษณะของหลักสูตก็จะเน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลัก การจัดหลักสูตรและประสบการณ์การเรียนรู้เป็นหมวดหมู่มีลักษณะต่อเนื่อง ผู้สอนเป็นศูนย์กลางจะควบคุมกิจกรรมการจัดการเรียนการสอน โดยจะพัฒนาผู้เรียนไปตามแนวทางที่กำหนดไว้

          2) ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism Theory) 
          จะมีลักษณะการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การออกแบบหลักสูตรประสบการณ์การเรียนและการสอน จะจัดตามลำดับขึ้นของการพัฒนาผู้เรียนแต่ละช่วงวัย โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบค้นพบหรือการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์

          3) ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanistic View of Motivation) จะมีการจัดหลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม โดยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ บทบาทของผู้สอนจะเป็นผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจให้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการ ให้ผู้เรียนได้สำรวจค้นพบตนเอง


3. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
              การศึกษาทำหน้าที่สำคัญคือ อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ โดยหน้าที่ดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นหลักสูตรที่จะนำไปสอนอนุชนเหล่านั้นจึงต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก และโดยธรรมชาติของสังคมและวัฒนธรรมมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จึงจะทำให้หลักสูตรมีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการสังคมได้  
4. ข้อมูลพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
                 ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้เรียนเกิดความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ และต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่ทำให้เกิดความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้ใหม่เพื่อให้คนในสังคมสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ โดยการใช้การศึกษาทำหน้าที่สร้างประชาชนที่มีคุณภาพและมีความสามารถปรับตัวเข้ากับการความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรที่นำมาใช้จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ความเจริญทางด้านนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเนื้อหาของหลักสูตรและการเรียนการสอน เช่น อุปกรณ์การสอนใหม่ๆ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ คอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกเสียง วีดิทัศน์  ไมโครฟิล์ม โพรเจกเตอร์ วิธีการสอนใหม่ซึ่งใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วย เช่น วิทยุการศึกษา โทรทัศน์การศึกษา การศึกษาทางไกล การสอนแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นต้น
                วัสดุอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และวิธีการสอนที่อาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านี้ สามารถช่วยให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงกว่าการสอนในอดีต ผู้พัฒนาหลักสูตรควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวแล้วนำมาพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมด้วย
5. ข้อมูลพื้นฐานวิชาการ การพัฒนาหลักสูตรนั้นต้องคำนึงถึงเกณฑ์ในการพิจารณาการเลือกเนื้อหาสาระลงในรายวิชาว่ามีปรัชญาของหลักสูตรเน้นในเรื่องใด เช่น การเน้นทางด้านเนื้อหา หรือกระบวนการแสวงหาความรู้ ความคิดรวบยอดหลักๆที่จะเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาความคิด ค่านิยมของผู้เรียนที่เหมาะกับวุฒิภาวะ ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียนและสามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กับรายวิชาอื่นๆได้อย่างไร นักพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน รวมทั้งข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการปรับความคิดที่หลากหลายภายในคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรให้มีเอกภาพ เพื่อสรุปและประมวลสาระของรายวิชามาลงไว้ในหลักสูตรโดยสอดคล้องกับธรรมชาติและวัฒนธรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน
3. การพัฒนาหลักสูตรมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง จงยกตัวอย่าง Model อธิบายองค์ประกอบแต่ละ Model และสรุปความเห็นกรณีที่องค์ประกอบในการพัฒนาหลักสูตร หายไปจะเกิดอะไรขึ้น

ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมข้อมูลพื้นฐาน
  -   สมาชิกในกลุ่มปรึกษากันในหัวข้อเรื่อง การเลือกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในการจัดทำหลักสูตร
  -   สมาชิกในกลุ่มเสนอความคิดเห็นในเรื่อง การเลือกโรงเรียนที่จะนำหลักสูตรไปใช้
  -   วิเคราะห์ปรัชญาการศึกษา และจิตวิทยาการเรียนรู้ มีจุดประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาและนักจิตวิทยา แล้วนะแนวคิดเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
ขั้นที่ 2 ขั้นการประสานงาน
   -   สมาชิกในกลุ่มดำเนินการประสานงานขออนุญาตนำหลักสูตรมาใช้ที่โรงเรียนศรีวิชัย
   -  ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรที่จะนำมาใช้ให้ทางโรงเรียนทราบ
§  สาระการเรียนรู้
§  วัน เวลา ที่จะนำหลักสูตรมาใช้ เป็นต้น
   -  มีการจัดทำและส่งหนังสือขออนุญาต เพื่อนำหลักสูตรไปใช้ในวัน เวลาที่กำหนด
ขั้นที่ 3 ขั้นจัดทำหลักสูตร
   -  กำหนดเป้าหมายของหลักสูตร และกำหนดคุณลักษณะของผู้เรียนจบหลักสูตรจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะมีความรู้ ทักษะ แนวคิดอะไร มีเจตคติอย่างไร สามารถทำอะไรได้ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไร
   -  จัดเนื้อหาและประสบการณ์ที่ช่วยเอื้อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามที่คาดหวังไว้ในจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
   -  จัดทำโครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วยรายวิชา หรือหัวข้อของเนื้อหา และเวลาเรียน
   -  การกำหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการกำหนดวิธีการประเมินผลพร้อมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินได้ว่าผู้เรียนมีคุณลักษณะตามที่คาดไว้ในจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ขั้นที่ 4 ขั้นการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรและปรับแก้ก่อนนำไปใช้
     นำหลักสูตรที่ร่างเสร็จแล้วไปตรวจสอบ ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ เช่น ครูผู้สอน   นักศึกษาปริญญาโท เป็นต้น  แล้วนำผลการตรวจสอบมาปรับปรุงแก้ไขร่างหลักสูตรให้ดีขึ้น เตรียมพร้อมที่จะนำไปใช้

ขั้นที่ 5 ขั้นการนำหลักสูตรไปใช้
      นำหลักสูตรที่ตรวจสอบคุณภาพและแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการต่างๆที่มั่นใจว่ามีการใช้หลักสุตรอย่างเหมาะสม เช่น วางแผนการสอน  จัดการเรียนการสอน ประเมินผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นต้น
ขั้นที่ 6 ขั้นการประเมินหลักสูตรและการปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
  -  เป็นการประเมินหลักสูตรทุกขั้นตอน แล้วนำผลจากการประเมินมาพิจารณาร่วมกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรและนำผลการประเมินมาปรับปรุงประสิทธิภาพของหลักสูต
   -  เป็นการนำผลการประเมินหลักสูตรมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ในกรณีผลการประเมินพบข้อบกพร่องหรือปัญหาอุปสรรค ผู้พัฒนาหลักสูตรจะดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้ได้อย่างดีที่สุด
 




ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมข้อมูลพื้นฐาน

 
 
 




ขั้นที่ 4 ขั้นการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
 
 
 




ตัวอย่าง Model ของ Tyler
 




            ในกรณีที่องค์ประกอบในการพัฒนาหลักสูตร จากโมเดลหายไปจะเกิดความไม่สมบูรณ์และขาดความไม่ต่อเนื่องในการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งจะทำให้หลักสูตรนั้นไม่มีความพร้อมหรือไม่สามารถนำไปใช้ได้ดี
4. การนำหลักสูตรไปใช้มีนักการศึกษาใดหรือใครที่เสนอแนะไว้ว่าควรคำนึงถึงปัจจัยใดบ้าง อย่างไร

          การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นการนำอุดมการณ์ จุดหมายของหลักสูตร เนื้อหาวิชา และประสบการณ์การเรียนรู้ที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้ มีความสำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนตอนใดๆทั้งหมด เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตรถึงแม้หลักสูตรจะสร้างไว้ดีเพียงใดก็ตาม ยังไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าหากว่าการนำหลักสูตรไปใช้ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ดีเพียงพอ ความล้มเหลวของหลักสูตรก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะนั้นการนำหลักสูตรไปใช้ จึงมีความสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในการนำหลักสูตรไปใช้ จะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดตามความมุ่งหมายทุกประการ ดังนั้นการนำหลักสูตรไปใช้ควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
1.ความปลอดภัย
ความปลอดภัยในการนำหลักสูตรไปใช้ กล่าวคือ ความปลอดภัยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องใช้ความรอบคอบ รัดกุม เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียทางทรัพย์ ทางกาย ทางใจ ฯลฯ ตลอดจนความปลอดภัยของหลักสูตรที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ ของผู้เรียน ผู้ใช้หลักสูตร และเกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวม
2.ความพอเพียง
ความพอเพียง โดยการให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจของผู้เรียน ให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ได้สร้างไว้ ผู้จัดทำควรเป็นต้นแบบที่ดีในความพอเพียง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
3.การสื่อสาร
การสื่อสาร คือกระบวนการสำหรับแลกเปลี่ยนสาร รูปแบบอย่างง่ายของสาร คือ จะต้องส่งจากผู้ส่งสารหรืออุปกรณ์เข้ารหัส ไปยังผู้รับสารหรืออุปกรณ์ถอดรหัส อาจอยู่ในรูปแบบของท่าทางสัญลักษณ์ บ้างอย่างอยู่ในรูปแบบของภาษา การสื่อสารเกิดจากความต้องการที่คนจะส่งข้อมูลหากัน การศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารอาจจำแนกได้หลายหมวดหมู่เป็นความสำคัญในการใช้งาน  และ ต้องเกิดความรอบคอบ รัดกุม เพื่อไม่ให้ผู้ใช้หลักสูตร และถูกนำไปใช้ เกิดความคลาดเคลื่อนซึ่งกันและกัน
5. การประเมินผลการเรียนรู้และการประเมินหลักสูตรมีแนวคิด วิธีการ อย่างไร เพื่อที่จะทราบว่าหลักสูตรนี้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนดไว้หรือไม่
    
          การประเมินผลหลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรว่ามีคุณภาพและสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่อย่างไร มีความบกพร่องในส่วนใดที่จะต้องแก้ไข เพื่อที่จะนำผลการประเมินมานั้นมาปรับปรุงหลักสูตรให้ได้หลักสูตรที่มีคุณภาพต่อไป      
สำหรับการประเมินผลมีแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน ดังนี้
          การประเมินนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก Tylor โดยตรงจากการที่เขาได้ทำแบบประเมินโครงการมัธยมศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา และต่อมารูปแบบการประเมินหลักสูตรก็ได้ขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ต่อมา Stufflebeam และคณะได้เสนอแนวคิดแบบ CIPP Model สำหรับการประเมินบริบท ปัจจัยเบื้องต้น กระบวนการและผลผลิต เพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการดำเนินงาน การเลือกยุทธวิธี แผนงาน และการดำเนินงานและการตัดสินใจปรับเปลี่ยนงาน ให้มีความเหมาะสม  
          ยกตัวอย่างการประเมินหลักสูตรแบบ CIPP Model
         
รูปแบบการประเมินของ Stufflebeam ซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการตัดสินใจ เป็นรูปแบบที่มุ่งให้ได้มาซึ่งข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจคัดสรรทางเลือกต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รูปแบบการประเมินที่เป็นที่นิยมในการประเมินเรื่องต่างๆแม้กระทั้งในวงการศึกษาไทย ได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย 
          1. การประเมินด้านสภาพแวดล้อม (Context Evaluation) เป็นการประเมินที่มีจุดหมายเพื่อให้ได้หลักการและเหตุผลมากำหนดจุดมุ่งหมายการประเมินสภาพแวดล้อมจะช่วยให้ผู้พัฒนาหลักสูตรรู้ว่า สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษามีอะไรบ้าง สภาพการณ์ที่คาดหวังกับสภาพแวดล้อมนั้นที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร มีความต้องการหรือปัญหาอะไรที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองหรือแก้ไข  เช่น การนำหลักสูตรไปประเมินโดยดูจากจุดมุ่งหมายและครอบคลุมนโยบายของโรงเรียน ความต้องการของผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน  คณะกรรมการบริหารโรงเรียน ผู้ปกครองและตัวนักเรียน  แผน วิสัยทัศน์ จุดหมาย โครงสร้างหลักสูตร
          2. การประเมินปัจจัยหรือตัวป้อน (Input Evaluation) เป็นการประเมินที่มีจุดหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลมาตัดสินใจว่าจะใช้ทรัพยากรหรือสรรพกำลังต่างๆ ที่มีอยู่เพื่อให้ได้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างไร จะขอความช่วยเหลือด้านทรัพยากรและสรรพกำลังจากภายนอกดีหรือไม่ อย่างไร ประเด็นการประเมินจะครอบคลุมเกี่ยวกับงบประมาณ อาคารสถานที่ คุณลักษณะ คุณวุฒิ คุณสมบัติ ประสบการณ์ของผู้บริหาร ผู้สอนจำนวนคุณภาพของผู้เรียน พื้นฐานความรู้ผู้เรียน สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ หนังสือตำรา เอกสารหลักสูตร การสนับสนุนส่งเสริมของคณะกรรมการบริหารหลักสูตร เวลาและช่วงเวลา เป็นต้น
          3. การประเมินด้านกระบวนการหรือผลผลิต (Process Evaluation) เป็นการประเมินที่มีจุดหมายเพื่อดูว่ามีจุดเด่น หรือจุดด้อยที่ควรนำมาพัฒนาของรูปแบบการดำเนินงานตามหลักสูตรอย่างไร เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกวิธีการต่อไป ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจดบันทึกผลประเมินกระบวนการนั้นจำเป็นต้องมีการประเมินที่หลากหลายทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประเด็นการประเมินครอบคลุม เกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตร การนิเทศ การกำกับติดตาม การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษา เป็นต้น
          4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) มีจุดมุ่งหมายที่จะนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่คาดหวังไว้หรือไม่ ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ความสามารถ สมรรถนะ คุณธรรม จริยธรรม เจตคติ รวมทั้งความสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่ ซึ่งประเด็นการประเมินจะครอบคลุมเกี่ยวกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลการเรียนรู้ สัมฤทธิผลทางการเรียน และความสามารถในการนำไปใช้งาน


                                                                  

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ27 มกราคม 2565 เวลา 15:05

    Play at the Best Casino Site - Choices Casino
    Choices Casino is one choegocasino of the most trusted online casino sites in 메리트카지노 New Zealand, offering a number of หารายได้เสริม exclusive casino games and a great welcome bonus.

    ตอบลบ